วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556

ประเภทของผ้า



1.ผ้าฝ้าย
2.ผ้าฝ้ายผสมกับผ้าใยสังเคราะห์
3.ผ้าโพลิเอสเตอร์
4.ผ้าขนสัตว์
5.ผ้าสแปนเด็กซ์
6.ผ้าไหม
7.ไนลอน
8.ผ้าทอ
9.ผ้าถัก
10.ผ้าลินิน
การพัฒนาของสีสังเคราะห์



ในปี ค.ศ. 1856 วิเลี่ยม เพอร์คิน (William Perkin) ได้ค้นพบสีสังเคราะห์โดยบังเอิญจากการพยายามสังเคราะห์ยาควินนิน เพื่อใช้รักษาโรคมาลาเรีย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถือเป็นยุคที่ 2 ของสีย้อมผ้าซึ่งเป็นจุดสำคัญของการแบ่งแยกยุคสมัยของสีย้อมผ้าจากยุคสีย้อมธรรมชาติมาสู่ยุคสีย้อมสังเคราะห์ สืบเนื่องจากการค้นพบของ วิเลี่ยม เพอร์คิน ทำให้มีการคิดค้นสีชนิดใหม่ๆ เพิ่มขึ้นประมาณ 500 กว่าชนิดภายในปี ค.ศ.1900 โดยประเทศอังกฤษ เยอรมันนี และฝรั่งเศส เป็นประเทศ ที่มีการพัฒนาสีสังเคราะห์มากที่สุด ในยุคที่ 2 นี้ การใช้สีสังเคราะห์เป็นไปอย่างแพร่หลายจนแทนที่การใช้สีย้อมธรรมชาติโดยสิ้นเชิง ช่วงทศวรรษ 1950 ถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการคิดค้นสีย้อมสังเคราะห์เพราะเป็นช่วงที่ สีรแอคทีฟ (Reactive Dye) ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเป็นสีที่มีความยิดเกาะกับเส้นใยสูงโดยอาศัยพันธะ ทางเคมี ทำให้ได้ผลลัพธ์คือความคงทนของสีย้อม และสีที่สดใส



ประวัติการย้อมสีผ้า


การย้อมผ้าเป็นงานศิลป์ที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมมนุษย์มาอย่างยาวนาน ย้อนหลังไปหลายพันปีโดยประเทศจีนถือเป็นชนชาติแรกที่ปรากฏหลักฐานว่ามีการย้อมผ้า (ตั้งแต่ 3,000 ปี ก่อนคริสกาล) นอกจากนี้ยังพบชนชาติอื่นๆ ที่มีการย้อมผ้า เช่น ชาวยุโรปในยุคโลหะ (2,500 ถึง 800 ปี ก่อนคริสตกาล) ชาวอินเดีย (2,500 ปี ก่อนคริสตกาล) และชาวอียิปต์ (1,450 ปี ก่อนคริสตกาล) ที่พบหลักฐานการย้อมผ้าด้วยสีสันหลากหลาย ในสมัยโบราณ มนุษย์ตกแต่งผ้าจากวัสดุธรรมชาติชนิดต่างๆ เช่น การใช้ใบไม้ ดอกไม้ หรือกิ่งไม้ ยึดติดกับผ้าด้วยไข่ขาว หรือเลือด อีกวิธีหนึ่งคือการถูวัสดุที่มีสีต่างๆ ลงบนผ้า ซึ่งมีข้อเสียคือไม่ทนต่อการซักล้าง และการสวมใส่ จนกระทั่งมนุษย์สามารถค้นพบวิธีการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติโดยการนำผลไม้ไปตำให้ละเอียดแล้วนำมาต้มรวมกับผ้า ทำให้เส้นใยผ้าเปลี่ยนสี และทนต่อการซักล้างมากขึ้น  สีย้อมธรรมชาติส่วนใหญ่จะได้มาจากพืช หรือสัตว์ เช่นสีแดง ได้มาจากครั่ง ซึ่งเป็นแมลงตัวเล็กๆ  สีน้ำเงิน ได้จากคราม  สีดำ ได้มาจากผลของมะเกลือ  สีเหลืองได้มาจากขมิ้น เป็นต้น